โรคหลอดเลือดสมอง (สโตรก) : 7 สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

โรคหลอดเลือดสมอง (สโตรก) เงียบแต่ร้ายแรง: 7 สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

คุณรู้หรือไม่ว่า โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “สโตรก” เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของโลก และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด อัมพฤกษ์อัมพาต ที่เปลี่ยนชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวไปตลอดกาล ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลกเผยว่า ทุกปีมีผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง เกิดใหม่ทั่วโลกมากถึง 10-15 ล้านคน ในจำนวนนี้ 5 ล้านคนเสียชีวิต และอีก 5 ล้านคนกลายเป็นคนพิการอย่างถาวร สำหรับประเทศไทย สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 2 ในเพศหญิง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและต้องการความตระหนักรู้อย่างจริงจัง

แต่ข่าวดีคือ… หากคุณรู้วิธีสังเกตสัญญาณเตือนและป้องกันอย่างถูกต้อง คุณสามารถลดความเสี่ยงจาก สโตรก ได้มากถึง 80%!

ประเภทของโรคหลอดเลือดสมองที่คุณต้องรู้

1. โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลัน (Ischemic Stroke) 

สโตรก ชนิดนี้เป็นประเภทที่พบมากที่สุด เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองตีบหรืออุดตัน ทำให้สมองขาดออกซิเจนและเสียหายอย่างถาวร

สาเหตุหลักของสโตรคชนิดเส้นเลือดตีบ:

  • โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษา
  • โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี
  • ไขมันในเลือดสูง (คอเลสเตอรอล)
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • โรคหัวใจ โดยเฉพาะภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ภาวะเลือดข้นผิดปกติ

2. โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)

สโตรก ชนิดนี้เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ทำให้เกิดการเลือดออกในสมอง มักมีอาการรุนแรงกว่าชนิดแรกและมีอัตราเสียชีวิตสูงกว่า

สาเหตุหลักของสโตรคชนิดเส้นเลือดแตก:

  • โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเลือดไม่แข็งตัว
  • ความผิดปกติของหลอดเลือดแต่กำเนิด

สัญญาณเตือน “สโตรก” ด้วยหลัก BEFAST – จำง่าย ช่วยชีวิตได้

การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือน โรคหลอดเลือดสมอง ด้วยหลัก BEFAST สามารถช่วยชีวิตและลดความพิการได้อย่างมาก เพราะ “เวลาคือสมอง” ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสฟื้นตัวก็จะมากขึ้นเท่านั้น

B – Balance (การทรงตัว)

  • เดินเซ การทรงตัวผิดปกติ
  • เดินไม่ได้หรือเดินโซเซ
  • วิงเวียนรุนแรงอย่างฉับพลัน
  • ล้มหรือสะดุดโดยไม่ทราบสาเหตุ

E – Eye (การมองเห็น)

  • มองไม่เห็นอย่างเฉียบพลัน
  • ตามัวหรือเบลอกะทันหัน
  • มองเห็นเพียงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
  • เห็นภาพซ้อน

F – Face (ใบหน้า)

  • หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว
  • มุมปากตกข้างใดข้างหนึ่ง
  • ยิ้มไม่ได้หรือยิ้มเบี้ยว
  • หน้าเฉียบไปข้างใดข้างหนึ่ง

A – Arm (แขนขา)

  • แขนหรือขาอ่อนแรงเฉียบพลัน
  • ชาแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง
  • ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้
  • จับของไม่ได้หรือหยิบจับของตก

S – Speech (การพูด)

  • พูดไม่ชัด พูดลิ้นพัน
  • พูดไม่รู้เรื่อง
  • ฟังไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น
  • หาคำพูดไม่ออก

T – Time (เวลา)

เวลาที่เริ่มมีอาการผิดปกติ  สงสัยภาวะโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ให้รีบโทร 1669 หรือพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที!

ทำไมการรักษา “สโตรก” ต้องรีบ?

ในการรักษา โรคหลอดเลือดสมอง มีข้อกำหนดที่เรียกว่า “Golden Time” หรือเวลาทอง ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่การรักษาจะได้ผลดีที่สุด

  • 0-3 ชั่วโมง: เวลาทองที่ดีที่สุด สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic therapy) ได้
  • 3-4.5 ชั่วโมง: ยังมีโอกาสรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยบางกลุ่ม
  • 6-24 ชั่วโมง: อาจสามารถรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดสมอง (mechanical thrombectomy) ได้

ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ: ทุกนาทีที่ล่าช้า สมองจะเสียหายประมาณ 1.9 ล้านเซลล์! และทุกชั่วโมงที่ล่าช้าเท่ากับการทำให้สมองแก่ไป 3.6 ปี

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรักษาสโตรค:

  1. เวลา – ยิ่งได้รับการรักษาเร็ว โอกาสฟื้นตัวยิ่งดี
  2. ความรุนแรงของโรค – ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของความเสียหาย
  3. ความพร้อมของเทคโนโลยี – โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  4. สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย – อายุ โรคประจำตัว ความแข็งแรงของร่างกาย

8 วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง

1. ควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

  • ความดันโลหิต: ควรอยู่ที่ 120/80 มม.ปรอท หรือตามที่แพทย์แนะนำ
  • ระดับน้ำตาลในเลือด: HbA1c ควรต่ำกว่า 7% สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
  • คอเลสเตอรอล: LDL ควรต่ำกว่า 100 mg/dL (หรือตามที่แพทย์กำหนด)

2. เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง

การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อ สโตรก มากถึง 2-4 เท่า เพราะทำให้หลอดเลือดตีบและเลือดแข็งตัวง่าย

3. จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์

  • ผู้ชาย: ไม่เกิน 2 หน่วยต่อวัน
  • ผู้หญิง: ไม่เกิน 1 หน่วยต่อวัน
  • 1 หน่วย = เบียร์ 1 กระป๋อง หรือไวน์ 1 แก้วเล็ก

4. รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ

  • เพิ่มผักผลไม้ให้มากกว่า 5 ส่วนต่อวัน
  • ลดอาหารมัน ทอด และไขมันอิ่มตัว
  • ลดโซเดียม (เกลือ) ให้ต่ำกว่า 2,300 มก.ต่อวัน
  • เลือกโปรตีนไม่มีไขมัน เช่น ปลา ไก่ถอดหนัง

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • เดินเร็วอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • แบ่งเป็น 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
  • เสริมด้วยการออกกำลังกายแบบต้านทาน 2 วันต่อสัปดาห์

6. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

  • ดัชนีมวลกาย (BMI) ควรอยู่ระหว่าง 18.5-24.9
  • เส้นรอบเอวไม่เกิน 90 ซม. (ผู้ชาย) และ 80 ซม. (ผู้หญิง)

7. จัดการความเครียด

  • ฝึกสมาธิ โยคะ หรือเทคนิคผ่อนคลาย
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
  • หาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ

8. รับประทานยาป้องกันตามแพทย์สั่ง

การฟื้นฟูหลังเป็นสโตรค: ทำอย่างไรให้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ

การฟื้นฟูหลังเป็น โรคหลอดเลือดสมอง เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ด้วยการดูแลที่ถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ดีขึ้น

1. กายภาพบำบัด (Physical Therapy)

  • ฝึกการเดิน การทรงตัว
  • เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • ฝึกการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน

2. กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy)

  • ฝึกการกิน การแต่งตัว การอาบน้ำ
  • ฝึกการใช้มือและนิ้วให้ประณีต
  • ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

3. การบำบัดการพูด (Speech Therapy)

  • ฝึกการพูด การออกเสียง
  • ฝึกการกลืนอาหาร
  • ฝึกการสื่อสารด้วยวิธีอื่น

4. การดูแลด้านจิตใจ

  • ให้คำปรึกษาเพื่อลดภาวะซึมเศร้า
  • สร้างแรงจูงใจในการฟื้นฟู
  • สนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน

5. การป้องกันการเป็นซ้ำ

  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
  • ควบคุมปัจจัยเสี่ยง
  • ตรวจติดตามกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป: โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก ป้องกันได้ รักษาได้ หากรู้ทันเวลา

โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรค แม้จะเป็นโรคที่ร้ายแรงและเปลี่ยนชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก แต่ข่าวดีคือโรคนี้ ป้องกันได้มากถึง 80% และ รักษาได้ หากได้รับการดูแลที่ถูกต้องและทันเวลา หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงหรือกังวลเกี่ยวกับ โรคหลอดเลือดสมอง อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนป้องกันที่เหมาะสมกับคุณ

Share this
Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on linkedin
LinkedIn