คุณรู้หรือไม่ว่า โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “สโตรก” เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของโลก และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด อัมพฤกษ์อัมพาต ที่เปลี่ยนชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวไปตลอดกาล ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลกเผยว่า ทุกปีมีผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง เกิดใหม่ทั่วโลกมากถึง 10-15 ล้านคน ในจำนวนนี้ 5 ล้านคนเสียชีวิต และอีก 5 ล้านคนกลายเป็นคนพิการอย่างถาวร สำหรับประเทศไทย สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 2 ในเพศหญิง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและต้องการความตระหนักรู้อย่างจริงจัง
แต่ข่าวดีคือ… หากคุณรู้วิธีสังเกตสัญญาณเตือนและป้องกันอย่างถูกต้อง คุณสามารถลดความเสี่ยงจาก สโตรก ได้มากถึง 80%!
ประเภทของโรคหลอดเลือดสมองที่คุณต้องรู้
1. โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลัน (Ischemic Stroke)
สโตรก ชนิดนี้เป็นประเภทที่พบมากที่สุด เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองตีบหรืออุดตัน ทำให้สมองขาดออกซิเจนและเสียหายอย่างถาวร
สาเหตุหลักของสโตรคชนิดเส้นเลือดตีบ:
- โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษา
- โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี
- ไขมันในเลือดสูง (คอเลสเตอรอล)
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- โรคหัวใจ โดยเฉพาะภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ภาวะเลือดข้นผิดปกติ
2. โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)
สโตรก ชนิดนี้เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ทำให้เกิดการเลือดออกในสมอง มักมีอาการรุนแรงกว่าชนิดแรกและมีอัตราเสียชีวิตสูงกว่า
สาเหตุหลักของสโตรคชนิดเส้นเลือดแตก:
- โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเลือดไม่แข็งตัว
- ความผิดปกติของหลอดเลือดแต่กำเนิด
สัญญาณเตือน “สโตรก” ด้วยหลัก BEFAST – จำง่าย ช่วยชีวิตได้
การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือน โรคหลอดเลือดสมอง ด้วยหลัก BEFAST สามารถช่วยชีวิตและลดความพิการได้อย่างมาก เพราะ “เวลาคือสมอง” ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสฟื้นตัวก็จะมากขึ้นเท่านั้น
B – Balance (การทรงตัว)
- เดินเซ การทรงตัวผิดปกติ
- เดินไม่ได้หรือเดินโซเซ
- วิงเวียนรุนแรงอย่างฉับพลัน
- ล้มหรือสะดุดโดยไม่ทราบสาเหตุ
E – Eye (การมองเห็น)
- มองไม่เห็นอย่างเฉียบพลัน
- ตามัวหรือเบลอกะทันหัน
- มองเห็นเพียงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
- เห็นภาพซ้อน
F – Face (ใบหน้า)
- หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว
- มุมปากตกข้างใดข้างหนึ่ง
- ยิ้มไม่ได้หรือยิ้มเบี้ยว
- หน้าเฉียบไปข้างใดข้างหนึ่ง
A – Arm (แขนขา)
- แขนหรือขาอ่อนแรงเฉียบพลัน
- ชาแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง
- ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้
- จับของไม่ได้หรือหยิบจับของตก
S – Speech (การพูด)
- พูดไม่ชัด พูดลิ้นพัน
- พูดไม่รู้เรื่อง
- ฟังไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น
- หาคำพูดไม่ออก
T – Time (เวลา)
เวลาที่เริ่มมีอาการผิดปกติ สงสัยภาวะโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ให้รีบโทร 1669 หรือพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที!
ทำไมการรักษา “สโตรก” ต้องรีบ?
ในการรักษา โรคหลอดเลือดสมอง มีข้อกำหนดที่เรียกว่า “Golden Time” หรือเวลาทอง ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่การรักษาจะได้ผลดีที่สุด
- 0-3 ชั่วโมง: เวลาทองที่ดีที่สุด สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic therapy) ได้
- 3-4.5 ชั่วโมง: ยังมีโอกาสรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยบางกลุ่ม
- 6-24 ชั่วโมง: อาจสามารถรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดสมอง (mechanical thrombectomy) ได้
ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ: ทุกนาทีที่ล่าช้า สมองจะเสียหายประมาณ 1.9 ล้านเซลล์! และทุกชั่วโมงที่ล่าช้าเท่ากับการทำให้สมองแก่ไป 3.6 ปี
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรักษาสโตรค:
- เวลา – ยิ่งได้รับการรักษาเร็ว โอกาสฟื้นตัวยิ่งดี
- ความรุนแรงของโรค – ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของความเสียหาย
- ความพร้อมของเทคโนโลยี – โรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย – อายุ โรคประจำตัว ความแข็งแรงของร่างกาย
8 วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
1. ควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ความดันโลหิต: ควรอยู่ที่ 120/80 มม.ปรอท หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- ระดับน้ำตาลในเลือด: HbA1c ควรต่ำกว่า 7% สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- คอเลสเตอรอล: LDL ควรต่ำกว่า 100 mg/dL (หรือตามที่แพทย์กำหนด)
2. เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อ สโตรก มากถึง 2-4 เท่า เพราะทำให้หลอดเลือดตีบและเลือดแข็งตัวง่าย
3. จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้ชาย: ไม่เกิน 2 หน่วยต่อวัน
- ผู้หญิง: ไม่เกิน 1 หน่วยต่อวัน
- 1 หน่วย = เบียร์ 1 กระป๋อง หรือไวน์ 1 แก้วเล็ก
4. รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
- เพิ่มผักผลไม้ให้มากกว่า 5 ส่วนต่อวัน
- ลดอาหารมัน ทอด และไขมันอิ่มตัว
- ลดโซเดียม (เกลือ) ให้ต่ำกว่า 2,300 มก.ต่อวัน
- เลือกโปรตีนไม่มีไขมัน เช่น ปลา ไก่ถอดหนัง
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- เดินเร็วอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- แบ่งเป็น 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
- เสริมด้วยการออกกำลังกายแบบต้านทาน 2 วันต่อสัปดาห์
6. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ดัชนีมวลกาย (BMI) ควรอยู่ระหว่าง 18.5-24.9
- เส้นรอบเอวไม่เกิน 90 ซม. (ผู้ชาย) และ 80 ซม. (ผู้หญิง)
7. จัดการความเครียด
- ฝึกสมาธิ โยคะ หรือเทคนิคผ่อนคลาย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- หาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ
8. รับประทานยาป้องกันตามแพทย์สั่ง
การฟื้นฟูหลังเป็นสโตรค: ทำอย่างไรให้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ
การฟื้นฟูหลังเป็น โรคหลอดเลือดสมอง เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ด้วยการดูแลที่ถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ดีขึ้น
1. กายภาพบำบัด (Physical Therapy)
- ฝึกการเดิน การทรงตัว
- เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- ฝึกการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน
2. กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy)
- ฝึกการกิน การแต่งตัว การอาบน้ำ
- ฝึกการใช้มือและนิ้วให้ประณีต
- ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
3. การบำบัดการพูด (Speech Therapy)
- ฝึกการพูด การออกเสียง
- ฝึกการกลืนอาหาร
- ฝึกการสื่อสารด้วยวิธีอื่น
4. การดูแลด้านจิตใจ
- ให้คำปรึกษาเพื่อลดภาวะซึมเศร้า
- สร้างแรงจูงใจในการฟื้นฟู
- สนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน
5. การป้องกันการเป็นซ้ำ
- กินยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยง
- ตรวจติดตามกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
บทสรุป: โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก ป้องกันได้ รักษาได้ หากรู้ทันเวลา
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรค แม้จะเป็นโรคที่ร้ายแรงและเปลี่ยนชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก แต่ข่าวดีคือโรคนี้ ป้องกันได้มากถึง 80% และ รักษาได้ หากได้รับการดูแลที่ถูกต้องและทันเวลา หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงหรือกังวลเกี่ยวกับ โรคหลอดเลือดสมอง อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนป้องกันที่เหมาะสมกับคุณ