4 พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ทำให้เกิดอาการปวดคอโดยไม่รู้ตัว

4 พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ทำให้เกิดอาการปวดคอโดยไม่รู้ตัว

ทำความเข้าใจกับอาการปวดคอที่คุกคามคนยุคใหม่

อาการปวดคอกำลังกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานและผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นประจำ หลายคนอาจคิดว่าอาการปวดคอเป็นเพียงความเมื่อยล้าธรรมดาที่เกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้เองเมื่อได้พักผ่อน แต่ความจริงแล้ว อาการปวดคอที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าที่คิด

คุณหมอซัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการปวดคอ ที่มีประสบการณ์รักษาผู้ป่วยมากกว่า 18,000 ราย ได้เตือนว่า พฤติกรรมหลายอย่างในชีวิตประจำวันที่เราทำเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดคอ และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้น เช่น กระดูกคอเสื่อม หมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท หรือกระดูกคอเคลื่อน

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 4 พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ทำให้เกิดอาการปวดคอโดยไม่รู้ตัว พร้อมทั้งวิธีป้องกันและแก้ไขที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน รวมถึงแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด

4 พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ทำให้เกิดอาการปวดคอโดยไม่รู้ตัว

1. การก้มหน้าใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน

ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนมีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต การก้มหน้าใช้อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานานเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยมาก จากการศึกษาพบว่า เมื่อเราก้มหน้า 15 องศา น้ำหนักที่กดทับกระดูกคอจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 กิโลกรัม และเมื่อก้มหน้า 60 องศา น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเป็น 27 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดทับกระดูกคอถึง 5-6 เท่าของน้ำหนักศีรษะปกติ

การก้มหน้าใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานานจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “Text Neck” หรือ “คอสมาร์ทโฟน” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการปวดคอในคนยุคปัจจุบัน อาการที่พบได้บ่อยคือ ปวดคอบริเวณต้นคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ และในระยะยาวอาจนำไปสู่ภาวะกระดูกคอเสื่อมก่อนวัย

วิธีป้องกัน:

  • ยกสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตให้อยู่ในระดับสายตา แทนการก้มหน้ามองอุปกรณ์
  • ใช้หลัก 20-20-20 คือ ทุกๆ 20 นาทีที่ใช้อุปกรณ์ ให้มองไกลออกไป 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อคอและตา
  • หากต้องใช้อุปกรณ์เป็นเวลานาน ควรหยุดพักเป็นระยะ และยืดเส้นยืดสายบริเวณคอและบ่า

2. การนอนหนุนหมอนที่ไม่เหมาะสม

การนอนหนุนหมอนที่ไม่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของอาการปวดคอที่หลายคนมองข้าม หมอนที่สูงหรือแข็งเกินไปจะทำให้คอและกระดูกสันหลังไม่อยู่ในแนวเดียวกัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อคอต้องทำงานหนักเพื่อรักษาสมดุล นอกจากนี้ การนอนในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น นอนคว่ำ ก็เป็นสาเหตุของอาการปวดคอได้เช่นกัน

ผู้ที่มีปัญหาการนอนหนุนหมอนที่ไม่เหมาะสมมักจะมีอาการปวดคอในตอนเช้าหลังตื่นนอน อาการอาจดีขึ้นในระหว่างวัน แต่จะกลับมาปวดคออีกครั้งในวันถัดไป

วิธีป้องกัน:

  • เลือกหมอนที่มีความสูงพอดี ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ควรสูงประมาณ 4-6 นิ้ว
  • หมอนควรรองรับส่วนโค้งของคอได้ดี หมอนแบบ Memory Foam หรือหมอนที่ออกแบบเฉพาะสำหรับรองรับต้นคอ (Cervical Pillow) เป็นตัวเลือกที่ดี
  • นอนในท่าที่ถูกต้อง คือนอนหงายหรือนอนตะแคง หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำซึ่งทำให้คอบิดและเกิดอาการปวดคอได้ง่าย

3. การนั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์ในท่าที่ไม่ถูกต้อง

ในยุคที่หลายคนต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดคอในคนวัยทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหลังค่อม การยื่นคอไปด้านหน้าเพื่อมองหน้าจอ หรือการนั่งโดยไม่มีที่พิงหลังและคอที่เหมาะสม

การนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “Office Syndrome” หรือ “กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม” ซึ่งมีอาการสำคัญคือ ปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ และปวดหลัง

วิธีป้องกัน:

  • จัดโต๊ะทำงานให้เหมาะสม โดยให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตาหรือต่ำกว่าเล็กน้อย และอยู่ห่างจากตาประมาณ 50-70 เซนติเมตร
  • นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับหลังและคอ และปรับระดับเก้าอี้ให้เท้าวางราบกับพื้น
  • ใช้หลัก 90-90-90 คือ นั่งให้ข้อศอก เข่า และสะโพกงอทำมุม 90 องศา
  • ลุกเปลี่ยนอิริยาบถทุก 30 นาที และยืดเส้นยืดสายบริเวณคอและบ่า

4. การยกของหนักหรือออกแรงมากเกินไปโดยไม่ถูกวิธี

การยกของหนักหรือออกแรงมากเกินไปโดยไม่ถูกวิธีเป็นสาเหตุของอาการปวดคอที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องทำงานที่ต้องใช้แรงมาก หรือผู้ที่ออกกำลังกายโดยไม่มีเทคนิคที่ถูกต้อง

การยกของหนักโดยใช้แรงจากคอและไหล่ แทนที่จะใช้แรงจากขาและสะโพก จะทำให้เกิดแรงกดทับที่กระดูกคอมากเกินไป นอกจากนี้ การออกกำลังกายบางประเภทที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การวิ่งบนพื้นแข็ง หรือการเล่นกีฬาที่มีการปะทะ โดยไม่มีเทคนิคหรืออุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม ก็เป็นสาเหตุของอาการปวดคอได้เช่นกัน

วิธีป้องกัน:

  • ยกของหนักด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง คือ ย่อเข่าและใช้กล้ามเนื้อขาและสะโพกในการยก แทนการใช้แรงจากคอและหลัง
  • หากต้องยกของที่มีน้ำหนักมาก ควรขอความช่วยเหลือหรือใช้อุปกรณ์ช่วยยก
  • ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เริ่มจากการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย และเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
  • สวมอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมเมื่อเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

วิธีแก้ไขอาการปวดคอที่ทำได้เองที่บ้าน

หากคุณกำลังประสบกับอาการวดคอจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันดังกล่าว คุณสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน ดังนี้

1. ประคบร้อนหรือเย็น

การประคบร้อนหรือเย็นเป็นวิธีบรรเทาอาการปวดคอที่ได้ผลดีและทำได้ง่าย

  • การประคบเย็น เหมาะสำหรับอาการปวดคอที่เพิ่งเกิดขึ้น (ไม่เกิน 48 ชั่วโมง) หรือมีอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน ให้ใช้ถุงน้ำแข็งหรือถุงผ้าใส่น้ำแข็งประคบบริเวณที่ปวดคอประมาณ 15-20 นาที
  • การประคบร้อน เหมาะสำหรับอาการปวดคอเรื้อรังหรือมีอาการตึงกล้ามเนื้อคอ ให้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณที่ปวดคอประมาณ 15-20 นาที

2. ยืดกล้ามเนื้อคอและบ่าเป็นประจำ

การยืดกล้ามเนื้อคอและบ่าเป็นประจำจะช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวดคอได้ดี ท่ายืดกล้ามเนื้อคอที่แนะนำ ได้แก่:

  • ท่าเอียงคอ: เอียงศีรษะไปด้านซ้ายและขวา โดยใช้มือช่วยดึงเบาๆ ค้างไว้ด้านละ 15-30 วินาที ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
  • ท่าหมุนคอ: หมุนคอไปด้านซ้ายและขวาช้าๆ โดยหมุนให้สุดช่วงการเคลื่อนไหว แต่ไม่ฝืนจนเจ็บ ทำซ้ำด้านละ 5-10 ครั้ง
  • ท่ายืดคอด้านหน้า: ก้มหน้าลงเล็กน้อย ใช้มือทั้งสองข้างโอบด้านหลังศีรษะและออกแรงดึงลงเบาๆ ค้างไว้ 15-30 วินาที ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

3. นวดคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า

การนวดเป็นอีกวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดคอได้ดี คุณสามารถนวดด้วยตัวเองหรือให้คนอื่นช่วยนวดได้ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกดและคลึงบริเวณกล้ามเนื้อคอและบ่าที่ตึงหรือเป็นก้อน ใช้แรงกดที่พอเหมาะ ไม่แรงเกินไปจนเจ็บ นวดเป็นเวลา 5-10 นาที

4. ใช้อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงกระดูกคอและลดการอักเสบ

อาหารเสริมบางชนิดสามารถช่วยบำรุงกระดูกคอและลดการอักเสบได้ คุณหมอซันแนะนำให้ใช้อาหารเสริม DRSUN4in1 ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยบำรุงกระดูกและหมอนรองกระดูก ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวดคอได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการปวดคอ?

ถึงแม้อาการปวดคอส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เองหรือบรรเทาด้วยวิธีการดูแลตนเองที่บ้าน แต่มีบางกรณีที่คุณควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ได้แก่:

  • ปวดคอรุนแรงที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ
  • ปวดคอร่วมกับมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือมือ
  • ปวดคอร่วมกับมีอาการปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่ามัว
  • ปวดคอที่ไม่ดีขึ้นหลังจากรักษาด้วยตนเองเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
  • ปวดคอร่วมกับมีไข้สูง หรือมีอาการอื่นๆ ที่ผิดปกติ

การรักษาอาการปวดคอแบบบูรณาการโดยไม่ต้องผ่าตัด

หากอาการปวดคอของคุณเป็นมากขึ้นหรือเรื้อรัง แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การทำกายภาพบำบัด การใช้ยาลดปวดและลดการอักเสบ หรือในกรณีที่รุนแรง อาจต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม คุณหมอซันได้พัฒนาวิธีการรักษาอาการปวดคอแบบบูรณาการที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากอาการปวดคอได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แม้แต่ในรายที่เป็นกระดูกคอเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท วิธีการรักษาแบบบูรณาการของคุณหมอซันประกอบด้วย:

  1. การฝังเข็ม: ใช้เทคนิคการฝังเข็มที่ผสมผสานความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนจีน ช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาท
  2. การใช้ยาแบบบูรณาการ: ใช้ยาที่เหมาะสมกับสาเหตุของอาการปวดคอในแต่ละราย ตามหลักการ “ครบ ถูก ถึง”
  3. อาหารเสริม DRSUN4in1: ช่วยบำรุงกระดูกและหมอนรองกระดูก ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของอาการปวดคอ
  4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อลดการเกิดอาการปวดคอซ้ำ

สรุป

อาการปวดคอเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในคนยุคปัจจุบัน โดยมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 4 ประการ ได้แก่ การก้มหน้าใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน การนอนหนุนหมอนที่ไม่เหมาะสม การนั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์ในท่าที่ไม่ถูกต้อง และการยกของหนักหรือออกแรงมากเกินไปโดยไม่ถูกวิธี

การป้องกันและบรรเทาอาการปวดคอสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การยืดกล้ามเนื้อคอและบ่าเป็นประจำ และการดูแลตนเองที่บ้านด้วยวิธีต่างๆ หากอาการปวดคอเป็นมากขึ้นหรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม

การรักษาอาการปวดคอแบบบูรณาการของคุณหมอซัน ด้วยการฝังเข็ม การใช้ยา อาหารเสริม DRSUN4in1 และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายจากอาการปวดคอได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แม้แต่ในรายที่มีปัญหากระดูกคอเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาท ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ปราศจากอาการปวดคอที่รบกวน

Share this
Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on linkedin
LinkedIn