กระดูกคอเสื่อม: สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาอย่างยั่งยืน

กระดูกคอเสื่อม: สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาอย่างยั่งยืน

กระดูกคอเสื่อม เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศและผู้สูงอายุ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคกระดูกคอเสื่อม สาเหตุการเกิดโรค และวิธีการรักษาอย่างยั่งยืน

กระดูกคอเสื่อมคืออะไร?

กระดูกคอเสื่อม หรือภาษาการแพทย์เรียกว่า “โรคข้อเสื่อมที่กระดูกคอ” (Cervical Spondylosis) เป็นภาวะที่กระดูกคอและหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพลงตามอายุที่มากขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างกระดูกสันหลังส่วนคอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทและไขสันหลัง รวมทั้งส่งผลให้เกิดอาการปวด ตึง และความไม่สบายบริเวณคอและไหล่ได้

สาเหตุของกระดูกคอเสื่อม

  1. อายุที่เพิ่มขึ้น: เมื่อเราอายุมากขึ้น กระดูกและข้อต่อต่างๆ ในร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมสภาพลงตามธรรมชาติ
  2. การใช้งานที่ผิดท่าเป็นเวลานาน: เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือการก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ
  3. การบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่คอ เช่น whiplash injury จากอุบัติเหตุทางรถยนต์
  4. พันธุกรรม: บางคนอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคกระดูกคอเสื่อมได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ
  5. น้ำหนักตัวมากเกินไป: ภาวะอ้วนทำให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักมากขึ้น เร่งให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

อาการของกระดูกคอเสื่อม ผู้ที่เป็นโรคกระดูกคอเสื่อมอาจมีอาการดังต่อไปนี้:

  • ปวดคอ บ่า ไหล่ มักเป็นอาการปวดตื้อๆ เรื้อรัง อาจรู้สึกแย่ลงเมื่อเคลื่อนไหวคอ
  • ปวดร้าวลงแขน: บางรายอาจมีอาการปวดร้าวลงไปตามแขนหรือมือชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือมือ
  • ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่แขนหรือมือ: เกิดจากการกดทับเส้นประสาท
  • วิงเวียนศีรษะ: ในบางรายอาจมีอาการวิงเวียนร่วมด้วย
  • ปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย ข้อต่อฝืดรู้สึกว่าคอขยับได้ไม่คล่องตัว โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน
  • เสียงดังในหู หรือการได้ยินลดลง
  • การทรงตัวไม่ดี

การวินิจฉัยกระดูกคอเสื่อม

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคกระดูกคอเสื่อมโดย:

  1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
  2. การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี (X-ray)
  3. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
  4. การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) ในกรณีที่สงสัยว่ามีการกดทับเส้นประสาท

วิธีการรักษากระดูกคอเสื่อมอย่างยั่งยืน

การรักษากระดูกคอเสื่อมนั้น เราต้องมองแบบองค์รวมไม่ใช่แค่รักษาอาการปวดเท่านั้น แต่ต้องดูแลสุขภาพโดยรวมด้วย ซึ่งมีวิธีการรักษาแบบ 5 เสาหลัก ดังนี้:

  1. การรับประทานยาอย่างถูกต้อง: ต้องให้ครบ ให้ถูก และให้ถึง ตามที่แพทย์สั่ง อย่าหยุดยาเอง
  2. การฝังเข็ม: เป็นวิธีที่ช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้ดี โดยไม่ต้องผ่าตัด
  3. การใช้อาหารเสริมที่เหมาะสม: ที่ช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อ
  4. การลดความเสี่ยง: ปรับท่าทางการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ลดการก้มคอนานๆ หรือนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง
  5. การออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ: ทำกายภาพบำบัดหรือออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

 

การป้องกันและการดูแลตนเองเพื่อชะลอการเกิดกระดูกคอเสื่อม

  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้เพียงพอและใช้หมอนที่เหมาะสมเวลานอน
  • รักษาท่าทางที่ถูกต้อง: นั่งหลังตรง ไม่ก้มคอนานเกินไป หยุดพักเป็นระยะเมื่อต้องทำงานในท่าเดิมนานๆ
  • จัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม: ปรับความสูงของโต๊ะ เก้าอี้ และหน้าจอคอมพิวเตอร์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เน้นการบริหารกล้ามเนื้อคอและไหล่
  • ควบคุมน้ำหนัก: รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ลดความเครียด เพราะความเครียดอาจทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นได้
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อสุขภาพกระดูกและข้อต่อ

สรุป

กระดูกคอเสื่อม เป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในสังคมปัจจุบัน การเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับอาการของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคกระดูกคอเสื่อม หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

การรักษาโรคกระดูกคอเสื่อมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่การรักษาอาการเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกคอในระยะยาว ด้วยการดูแลตนเองอย่างถูกวิธีและการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขแม้จะเป็นโรคกระดูกคอเสื่อม

แต่ถ้าอาการปวดคอ กระดูกคอเสื่อม เป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ แนะนำให้รักษาที่ต้นเหตุ

ด้วยการมาปรึกษาพบแพทย์โดยด่วน ก่อนที่จะต้องผ่าตัด 

Share this
Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on linkedin
LinkedIn