ปวดกระดูกต้นคอ…สัญญาณเสี่ยง “กระดูกคอเสื่อม”

อาการปวดกระดูกต้นคอเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่เราใช้เวลาหมกมุ่นกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า อาการปวดต้นคอที่เรื้อรังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรค “กระดูกคอเสื่อม” ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และการรักษาภาวะกระดูกคอเสื่อม เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพกระดูกคอได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ปวดกระดูกต้นคอ…สัญญาณเสี่ยง "กระดูกคอเสื่อม"

กระดูกคอเสื่อมคืออะไร?

กระดูกคอเสื่อม หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Cervical Spondylosis เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกและหมอนรองกระดูกคอตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยปกติแล้ว กระดูกสันหลังส่วนคอประกอบด้วยกระดูก 7 ข้อ เรียงต่อกันจาก C1 ถึง C7 ระหว่างกระดูกแต่ละข้อจะมีหมอนรองกระดูกทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกและช่วยให้กระดูกคอเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว

เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ หมอนรองกระดูกเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นและน้ำที่อยู่ภายใน ทำให้หมอนรองกระดูกแบนและแข็งลง ขณะเดียวกัน กระดูกคอก็เริ่มงอกปุ่มกระดูกเพื่อเพิ่มความแข็งแรง สิ่งเหล่านี้เป็นกระบวนการเสื่อมตามธรรมชาติ แต่ในบางคน กระบวนการเสื่อมนี้อาจเกิดเร็วกว่าปกติและรุนแรงจนก่อให้เกิดอาการปวดและจำกัดการเคลื่อนไหว หรือในกรณีที่รุนแรง ปุ่มกระดูกที่งอกหรือหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมาอาจไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง หรือความผิดปกติทางระบบประสาทได้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของกระดูกคอเสื่อม

กระดูกคอเสื่อมมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่:

1. อายุที่เพิ่มขึ้น

อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของกระดูกคอเสื่อม พบว่าประมาณ 90% ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีภาพเอ็กซเรย์ที่แสดงให้เห็นถึงการเสื่อมของกระดูกคอในระดับหนึ่ง แม้ว่าอาจจะยังไม่แสดงอาการก็ตาม

2. การใช้งานที่ผิดท่าและการบาดเจ็บ

การใช้คอในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน เช่น การก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์โดยไม่ปรับระดับจอให้เหมาะสม การนอนหมอนสูงหรือต่ำเกินไป หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น whiplash injury (การบาดเจ็บจากการสะบัดคอ) จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกระดูกคอเสื่อมได้เร็วขึ้น

3. การออกแรงซ้ำๆ

อาชีพที่ต้องออกแรงที่คอซ้ำๆ เช่น นักกีฬาที่ต้องใช้คอในการเล่นกีฬา หรืออาชีพที่ต้องแบกของหนักบนไหล่หรือศีรษะ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกคอเสื่อม

4. พันธุกรรม

บางคนอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้หมอนรองกระดูกและกระดูกเสื่อมเร็วกว่าปกติ หรือมีโครงสร้างของกระดูกคอที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด

5. น้ำหนักตัวเกิน

น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้กระดูกสันหลังต้องรับภาระมากขึ้น ซึ่งอาจเร่งให้เกิดการเสื่อมของกระดูกและหมอนรองกระดูกได้

6. การสูบบุหรี่และการขาดการออกกำลังกาย

การสูบบุหรี่ลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหมอนรองกระดูก ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วขึ้น ส่วนการขาดการออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ คอและหลังอ่อนแอ ไม่สามารถพยุงกระดูกคอได้ดี

อาการของกระดูกคอเสื่อม

ผู้ที่มีภาวะกระดูกคอเสื่อมอาจแสดงอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย จนถึงมีอาการรุนแรงที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

1. ปวดคอและต้นคอ

อาการปวดต้นคอเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของกระดูกคอเสื่อม อาการปวดอาจเป็นแบบตื้อๆ หรือเป็นแบบเฉียบพลัน โดยมักจะปวดมากขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวคอหรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน และอาจแผ่ลงไปที่ไหล่หรือแขนด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน

2. การเคลื่อนไหวของคอจำกัด

ผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อมอาจรู้สึกว่าคอขยับได้ไม่สะดวกเหมือนเดิม การหันซ้ายขวาหรือเงยหน้าก้มหน้าทำได้ลำบากหรือทำให้เกิดอาการปวด

3. อาการชาและรู้สึกเสียวซ่าตามแขนและมือ

เมื่อกระดูกงอกหรือหมอนรองกระดูกยื่นออกมากดทับเส้นประสาทที่ออกจากไขสันหลัง จะทำให้เกิดอาการชา เสียวแปลบ หรือรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าช็อตตามแขนและมือ

4. อาการอ่อนแรงที่แขนและมือ

ในกรณีที่เส้นประสาทถูกกดทับเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เส้นประสาทนั้นควบคุม ทำให้จับของหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงได้ลำบาก

5. อาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย

เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ยึดเกาะกับกระดูกคอมีความตึงตัว เมื่อกระดูกคอเสื่อม กล้ามเนื้อเหล่านี้จะทำงานหนักขึ้นเพื่อพยุงศีรษะ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะตึงๆ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย

6. อาการวิงเวียน ตาพร่ามัว หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว

ในบางกรณี ถ้ากระดูกคอเสื่อมกระทบต่อเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หรือกระทบต่อเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ตาพร่ามัว หรือมีปัญหาในการทรงตัวได้

7. ปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการขับถ่าย

ในกรณีที่รุนแรงมาก ถ้ากระดูกคอเสื่อมกระทบต่อไขสันหลัง อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการขับถ่ายได้ แต่อาการนี้พบได้ไม่บ่อย

การวินิจฉัยกระดูกคอเสื่อม

เมื่อสงสัยว่าอาจมีภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดย:

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย

แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับอาการ ระยะเวลาที่เป็น ปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลงหรือดีขึ้น ประวัติการบาดเจ็บ และประวัติทางการแพทย์อื่นๆ จากนั้นจะทำการตรวจร่างกาย โดยดูการเคลื่อนไหวของคอ ตรวจกำลังกล้ามเนื้อ ตรวจความรู้สึก และตรวจรีเฟล็กซ์

2. การตรวจทางรังสีวิทยา

การตรวจทางรังสีวิทยาช่วยยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของโรค รวมถึงช่วยในการวางแผนการรักษา การตรวจที่อาจใช้ ได้แก่:

  • ภาพเอ็กซเรย์คอ: แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกระดูกคอ เช่น การงอกของปุ่มกระดูก การแคบลงของช่องว่างระหว่างกระดูก
  • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): ให้ภาพที่ละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อน เช่น หมอนรองกระดูก ไขสันหลัง เส้นประสาท ช่วยให้เห็นการกดทับของเส้นประสาทหรือไขสันหลัง
  • การตรวจด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan): ให้ภาพ 3 มิติของกระดูกที่ละเอียดกว่าภาพเอ็กซเรย์ธรรมดา

การรักษากระดูกคอเสื่อม

การรักษากระดูกคอเสื่อมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน แนวทางการรักษามีดังนี้:

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

สำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีอาการไม่รุนแรง การรักษาแบบไม่ผ่าตัดมักให้ผลดีและสามารถบรรเทาอาการได้ วิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัด ได้แก่:

1.1 การพักคอและปรับท่าทาง

พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้อาการแย่ลง ปรับท่าทางการนั่ง การนอน และการทำงานให้ถูกต้อง เช่น:

  • ปรับความสูงของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา
  • ใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่เหมาะสม ปรับให้แขนวางบนโต๊ะหรือที่วางแขนได้สบาย
  • เลือกหมอนที่เหมาะสม โดยทั่วไปควรเป็นหมอนที่รองรับแนวโค้งธรรมชาติของคอ
  • หยุดพักเป็นระยะระหว่างการทำงานที่ต้องใช้คอในท่าเดิมเป็นเวลานาน

1.2 การใช้ยาบรรเทาอาการ

ยาที่อาจใช้ในการรักษากระดูกคอเสื่อม ได้แก่:

  • ยาแก้ปวดและลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs): เช่น ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
  • ยาคลายกล้ามเนื้อ: ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบๆ คอ
  • ยาบรรเทาอาการปวดประสาท: สำหรับอาการปวดที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาท
  • ยาบำรุงเส้นประสาท

1.3 การฝังเข็ม

การฝังเข็มเป็นทางเลือกหนึ่งในการบรรเทาอาการปวดจากกระดูกคอเสื่อม โดยเทคนิคการฝังเข็มของคุณหมอซันที่มีประสบการณ์การรักษาผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อมมากกว่า 4,000 เคส สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แม้แต่ในกรณีที่มีการกดทับเส้นประสาทหรือผู้ที่เคยผ่าตัดมาแล้วแต่ยังมีอาการปวด

1.4 การใช้อาหารเสริม

อาหารเสริมบางชนิดอาจช่วยบรรเทาอาการและชะลอการเสื่อมของกระดูกคอ เช่น:

  • Drsun4in1: อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนไทป์ 2 ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของหมอนรองกระดูก โปรติโอไกลแคนที่ช่วยดึงน้ำเข้าหมอนรองกระดูก และแมกนีเซียมที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยบำรุงกระดูกคอและหมอนรองกระดูก ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด

การป้องกันกระดูกคอเสื่อม

แม้ว่าการเสื่อมของกระดูกคอเป็นกระบวนการธรรมชาติตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่เราสามารถชะลอการเสื่อมและป้องกันอาการที่รุนแรงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

1. รักษาท่าทางที่ถูกต้อง

  • นั่งตัวตรง ไหล่ผ่อนคลาย ไม่ห่อไหล่หรือยื่นคอไปข้างหน้า
  • ปรับความสูงของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา
  • ใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่เหมาะสม มีที่พิงหลังที่รองรับโค้งธรรมชาติของหลัง
  • เมื่อใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ให้ยกอุปกรณ์ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา แทนที่จะก้มหน้าลงไปดู
  • ใช้หมอนที่เหมาะสม ที่รองรับแนวโค้งธรรมชาติของคอ

2. พักคอเป็นระยะระหว่างการทำงาน

  • ทุกๆ 30 นาที ควรพักสายตาและคอจากหน้าจอ
  • ทำการยืดคอเบาๆ เพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ
  • เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ไม่อยู่ในท่าเดิมนานเกินไป
  • ใช้กฎ 20-20-20 คือ ทุก 20 นาที มองไกลออกไป 20 ฟุต (6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที

3. ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอและไหล่

  • ทำการยืดกล้ามเนื้อคอและไหล่เป็นประจำ
  • ทำการบริหารเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ ไหล่ และหลังส่วนบน
  • ว่ายน้ำ โยคะ ไทชิ เป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์

4. ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม

น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้กระดูกสันหลังต้องรับภาระมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเสื่อมเร็วขึ้น การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกคอเสื่อม

5. งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่ลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหมอนรองกระดูก ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วขึ้น ส่วนแอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของกระดูก

6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและข้อต่อ

  • อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว
  • อาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ปลาทะเล ไข่แดง หรือรับแสงแดดอ่อนๆ เพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดีเอง
  • อาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาทะเล น้ำมันมะกอก ถั่ว ซึ่งช่วยลดการอักเสบ
  • ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบและชะลอการเสื่อมของเซลล์

7. พิจารณาใช้อาหารเสริมที่มีประสิทธิภาพ

อาหารเสริมบางชนิดอาจช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกคอและบรรเทาอาการ เช่น Drsun4in1 ที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจนไทป์ 2 โปรตีโอไกลแคน และแมกนีเซียม ซึ่งช่วยบำรุงหมอนรองกระดูก เพิ่มความยืดหยุ่น และลดการอักเสบ

แนวทางการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่มีกระดูกคอเสื่อม

ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีกระดูกคอเสื่อมควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

1. การจัดการกับอาการปวด

  • ใช้ความร้อนหรือความเย็นบริเวณที่ปวด โดยทั่วไป ความร้อนช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ส่วนความเย็นช่วยลดการอักเสบ
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ในขนาดและเวลาที่กำหนด
  • พิจารณาการฝังเข็มโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น คุณหมอซัน ซึ่งมีประสบการณ์การรักษากระดูกคอเสื่อมมากกว่า 4,000 เคส
  • ทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอตามโปรแกรมที่นักกายภาพบำบัดกำหนด

2. การปรับสภาพแวดล้อมและท่าทางในชีวิตประจำวัน

  • ปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน ให้ลดภาระของคอและหลัง
  • นอนหมอนที่เหมาะสม โดยอาจเป็นหมอนเพื่อสุขภาพที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกคอเสื่อม
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยในการยกของหนัก และหลีกเลี่ยงการยกของเหนือศีรษะ

3. การรับมือกับอาการกำเริบ

ผู้ที่มีกระดูกคอเสื่อมอาจมีช่วงที่อาการกำเริบมากขึ้นเป็นครั้งคราว สิ่งที่ควรทำในช่วงนี้ ได้แก่:

  • พักการใช้งานคอมากขึ้น
  • เพิ่มการประคบร้อนหรือเย็น
  • ปรึกษาแพทย์หากอาการรุนแรงขึ้นกว่าปกติหรือมีอาการผิดปกติใหม่เกิดขึ้น
  • พิจารณาใช้การฝังเข็มของหมอซันเพื่อบรรเทาอาการในช่วงที่มีอาการกำเริบ

4. การดูแลสุขภาพจิต

ความเครียดและความวิตกกังวลสามารถทำให้อาการปวดจากกระดูกคอเสื่อมแย่ลงได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญของการจัดการกับโรคนี้:

  • ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ
  • พูดคุยกับคนที่เข้าใจหรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง
  • พิจารณาการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตหากความเครียดหรือความวิตกกังวลส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

กรณีศึกษา: การรักษากระดูกคอเสื่อมโดยการฝังเข็ม

คุณบูรณ์ อายุ 55 ปี มีอาการปวดคอร้าวลงแขนมาเป็นเวลานาน ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกระดูกคอเสื่อมและมีหมอนรองกระดูกคอกดทับเส้นประสาท แพทย์แนะนำให้ผ่าตัด แต่คุณบูรณ์กังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จึงตัดสินใจมารับการรักษาด้วยการฝังเข็มกับคุณหมอซัน

หลังจากได้รับการฝังเข็มด้วยเทคนิคของคุณหมอซัน ร่วมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบันและอาหารเสริม Drsun4in1 อาการปวดคอและอาการชาที่แขนของคุณบูรณ์ดีขึ้นอย่างมาก สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติโดยไม่ต้องผ่าตัด

ปัจจุบัน คุณบูรณ์ยังคงดูแลตัวเองด้วยการทำกายภาพบำบัด ทานอาหารเสริม Drsun4in1 เพื่อบำรุงหมอนรองกระดูกคออย่างต่อเนื่อง และปรับท่าทางการนั่งทำงานให้ถูกต้อง ทำให้ไม่มีอาการปวดกำเริบอีกเลย

เมื่อไรควรพบแพทย์ด่วน

แม้ว่ากระดูกคอเสื่อมจะเป็นภาวะที่สามารถจัดการได้ด้วยการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในหลายกรณี แต่มีบางอาการที่ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ได้แก่:

  1. อาการอ่อนแรงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือรุนแรง โดยเฉพาะที่แขนและมือทั้งสองข้าง หรือขาทั้งสองข้าง
  2. การสูญเสียการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ
  3. ความยากลำบากในการทรงตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  4. อาการชาที่ลามลงไปที่ไหล่ แขน มือ หรือขาทั้งสองข้าง
  5. อาการปวดคอรุนแรงที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากได้รับบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุรถยนต์ การล้ม การถูกกระแทก

อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะร้ายแรง เช่น การกดทับไขสันหลังอย่างรุนแรง (Myelopathy) ซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

บทสรุป

กระดูกคอเสื่อมเป็นภาวะที่พบได้บ่อยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่อาจเกิดเร็วขึ้นในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น การใช้คอผิดท่า การบาดเจ็บ หรือพันธุกรรม อาการของกระดูกคอเสื่อมมีตั้งแต่อาการปวดคอเล็กน้อย ไปจนถึงอาการชา อ่อนแรง หรือมีปัญหาการทรงตัว

การป้องกันและการรักษากระดูกคอเสื่อมมีหลายวิธี ทั้งการปรับท่าทาง การออกกำลังกาย การใช้ยา การทำกายภาพบำบัด การฝังเข็ม การใช้อาหารเสริม และในกรณีที่จำเป็น อาจพิจารณาการผ่าตัด การเลือกวิธีการรักษาควรพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ ผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และความเสี่ยงของแต่ละวิธี

สำหรับผู้ที่มีอาการปวดกระดูกต้นคอ แต่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการปวดรุนแรง อาการชา อ่อนแรง หรืออาการอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

สำหรับทางเลือกในการรักษากระดูกคอเสื่อมแบบไม่ผ่าตัด การฝังเข็มของคุณหมอซันที่มีประสบการณ์การรักษาผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อมมากกว่า 4,000 เคส เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แม้แต่ในกรณีที่มีการกดทับเส้นประสาทหรือผู้ที่เคยผ่าตัดมาแล้วแต่ยังมีอาการปวด

ในที่สุด การดูแลสุขภาพกระดูกคอควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพโดยรวม การมีท่าทางที่ถูกต้อง การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนที่เพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันและชะลอการเกิดกระดูกคอเสื่อม ทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปตลอดช่วงอายุที่ยืนยาว

ติดต่อขอคำปรึกษา

  • Facebook: หมอซัน DrSUN
  • Line Official: @drsun
  • โทร: 095-519-4424

ทีมแพทย์ของเราพร้อมดูแลผู้ป่วยด้วยความใส่ใจ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ

Share this
Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on linkedin
LinkedIn