บทความ

วิธีรักษาอาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรังอย่างยั่งยืน

วิธีรักษาอาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรังอย่างยั่งยืน

อาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรังเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพกล้ามเนื้อและกระดูก บทความนี้จะนำเสนอวิธีการรักษาอาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรังอย่างยั่งยืน เพื่อให้คุณสามารถบรรเทาอาการปวดและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำในอนาคต สาเหตุของอาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรัง ก่อนที่เราจะเข้าสู่วิธีการรักษา เราควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุของอาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรังเสียก่อน สาเหตุหลักๆ มีดังนี้: ท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งก้มหน้าจ้องโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การยกของหนักไม่ถูกวิธี การนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม ความเครียดและความวิตกกังวล การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา โรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง เช่น หมอนรองกระดูกเสื่อม วิธีรักษาอาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรังอย่างยั่งยืน การรักษาอาการปวดคอบ่าไหล่เรื้อรังให้ได้ผลดีและยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาแบบองค์รวม ซึ่งประกอบด้วยหลายวิธีดังต่อไปนี้: การปรับท่าทางและสภาพแวดล้อมในการทำงาน จัดตำแหน่งคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา ใช้เก้าอี้ที่รองรับสรีระของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่าง หมั่นลุกเดินและยืดเส้นยืดสายทุก 30-60 นาที การออกกำลังกายและยืดกล้ามเนื้อ ทำการยืดกล้ามเนื้อคอและบ่าเป็นประจำ ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ คอและไหล่ ฝึกโยคะหรือพิลาทิสเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การฝังเข็ม บรรเทาอาการปวด ลดกระบวนการอักเสบ ฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาท ภายใต้การดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การใช้ความร้อนและความเย็น ประคบร้อนเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและคลายกล้ามเนื้อ ประคบเย็นเพื่อลดการอักเสบในกรณีที่มีอาการปวดเฉียบพลัน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีสารต้านการอักเสบ เช่น ปลาที่มีไขมันสูง ผักใบเขียว และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ การจัดการความเครียด ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ

Read More »
หมอนรองกระดูกทับเส้น: สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

หมอนรองกระดูกทับเส้น: สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

หมอนรองกระดูกทับเส้นเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากขึ้นหรือผู้ที่ต้องใช้งานกระดูกสันหลังอย่างหนัก บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้น เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง หมอนรองกระดูกทับเส้นคืออะไร? หมอนรองกระดูกทับเส้น หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อน (Herniated Disc) เกิดขึ้นเมื่อหมอนรองกระดูกที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังเคลื่อนออกจากตำแหน่งปกติ และไปกดทับเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการปวดและความไม่สบายต่างๆ สาเหตุของหมอนรองกระดูกทับเส้น หมอนรองกระดูกทับเส้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่: การเสื่อมสภาพตามวัย: เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกจะเสื่อมสภาพและมีความยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้เสี่ยงต่อการเคลื่อนได้ง่าย การบาดเจ็บ: อุบัติเหตุหรือการยกของหนักอย่างไม่ถูกวิธีอาจทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนได้ น้ำหนักตัวมากเกินไป: ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนทำให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้น การทำงานที่ต้องใช้แรงมาก: อาชีพที่ต้องยกของหนัก หรือนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ พันธุกรรม: บางคนอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ อาการของหมอนรองกระดูกทับเส้น ผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นอาจมีอาการต่างๆ ดังนี้: ปวดหลังหรือคอ: อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนท่าทาง ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าตามแขนหรือขา: เกิดจากการกดทับเส้นประสาท กล้ามเนื้ออ่อนแรง: อาจทำให้ยกแขนหรือเดินลำบาก ปวดร้าวลงขา (Sciatica): เป็นอาการที่พบบ่อยในกรณีหมอนรองกระดูกทับเส้นบริเวณเอว ปัญหาการควบคุมการขับถ่าย: ในกรณีที่รุนแรง อาจมีปัญหาในการควบคุมการปัสสาวะหรืออุจจาระ วิธีการรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้น การรักษาหมอนรองกระดูกทับเส้นมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ได้แก่: การลดความเสี่ยง หรือพักการใช้งานส่วนที่มีอาการ ประคบร้อนเย็น

Read More »
สัญญาณเตือน อาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท: รู้ก่อน รักษาทัน

สัญญาณเตือน อาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท: รู้ก่อน รักษาทัน

คุณเคยรู้สึกปวดบริเวณสะโพกหรือขาส่วนบนโดยไม่ทราบสาเหตุหรือไม่? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรือที่เรียกว่า Hip Impingement Syndrome ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยแต่มักถูกมองข้าม วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับอาการนี้ พร้อมสัญญาณเตือนที่ควรสังเกต เพื่อให้คุณสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทคืออะไร? ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท เกิดจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณสะโพกกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดและความไม่สบายต่างๆ โดยมักพบในผู้ที่ทำงานนั่งนานๆ หรือนักกีฬาที่ใช้งานสะโพกมาก 5 สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม ปวดบริเวณขาหนีบและสะโพก: อาการปวดมักเริ่มต้นที่บริเวณขาหนีบ และอาจแผ่ไปยังสะโพกหรือต้นขา ปวดเมื่อยกขาสูง: การยกขาขึ้นสูงหรือนั่งไขว่ห้างอาจทำให้รู้สึกปวดหรือตึงบริเวณสะโพก รู้สึกชาหรือเสียวซ่าลงขา: บางครั้งอาจมีอาการชาหรือเสียวซ่าลงไปตามขา เนื่องจากเส้นประสาทถูกกดทับ ปวดเมื่อนั่งนานๆ: การนั่งเป็นเวลานานอาจทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อลุกขึ้นยืน กล้ามเนื้อสะโพกอ่อนแรง: ในบางกรณี อาจรู้สึกว่ากล้ามเนื้อสะโพกอ่อนแรงลง ทำให้การเคลื่อนไหวลำบากขึ้น   ทำไมต้องใส่ใจกับอาการเหล่านี้? การละเลยอาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้น เช่น: ปวดเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต การเคลื่อนไหวที่จำกัด ทำให้การทำกิจวัตรประจำวันลำบาก เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อบริเวณสะโพก วิธีบรรเทาอาการเบื้องต้น พักการใช้งานสะโพก: ลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวด ประคบเย็น: ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด ยืดกล้ามเนื้อเบาๆ: ทำท่ายืดกล้ามเนื้อสะโพกอย่างนุ่มนวล ปรับท่านั่ง: หลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ และปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ใช้ยาแก้ปวด: ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อบรรเทาอาการ การทานอาหารเสริม: ช่วยบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

Read More »
สัญญาณเตือน อาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท: รู้ก่อน รักษาทัน

10 สัญญาณเตือนก่อนเกิดอาการปวดสลักเพชรที่ควรรู้

อาการปวดสลักเพชร หรือที่หลายคนเรียกว่า “ปวดเส้นประสาทไซแอติก” เป็นความเจ็บปวดที่สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ว่า ก่อนที่อาการจะรุนแรงจนทำให้เราทรมาน มักมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่เราควรสังเกต วันนี้คุณหมอจะมาแนะนำ 10 สัญญาณเตือนที่อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังจะเผชิญกับอาการปวดสลักเพชร เพื่อให้คุณสามารถป้องกันและรักษาได้ทันท่วงที 1. ปวดตื้อๆ บริเวณหลังส่วนล่าง อาการปวดตื้อๆ ที่หลังส่วนล่างอาจเป็นสัญญาณแรกของปัญหาสลักเพชร โดยเฉพาะถ้าความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่หายไปแม้จะพักผ่อน 2. รู้สึกชาหรือเสียวซ่าที่ขาหรือเท้า หากคุณเริ่มรู้สึกชาหรือเสียวซ่าบริเวณขาหรือเท้า โดยเฉพาะด้านหลังของขาลงไปถึงปลายเท้า นี่อาจเป็นสัญญาณว่าเส้นประสาทไซแอติกกำลังถูกกดทับ 3. ปวดร้าวลงขาข้างเดียว อาการปวดที่เริ่มจากสะโพกและร้าวลงไปตามขาข้างเดียว เป็นลักษณะเฉพาะของอาการปวดสลักเพชร ถ้าคุณสังเกตเห็นอาการแบบนี้ ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ 4. อ่อนแรงที่ขาหรือเท้า ถ้าคุณรู้สึกว่าขาหรือเท้าของคุณอ่อนแรงลง หรือมีปัญหาในการเคลื่อนไหว นี่อาจเป็นสัญญาณว่าเส้นประสาทไซแอติกกำลังถูกกดทับและส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ 5. ปวดมากขึ้นเมื่อนั่งนานๆ การนั่งเป็นเวลานานมักทำให้อาการปวดสลักเพชรแย่ลง ถ้าคุณสังเกตว่าตัวเองเริ่มรู้สึกไม่สบายมากขึ้นเมื่อต้องนั่งนานๆ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม 6. ปวดเมื่อไอหรือจาม อาการปวดที่รุนแรงขึ้นเมื่อไอหรือจาม เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของปัญหาสลักเพชร เนื่องจากการเคลื่อนไหวกะทันหันนี้อาจกดทับเส้นประสาทมากขึ้น 7. ปวดเมื่อเปลี่ยนท่าทาง หากคุณรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อต้องเปลี่ยนท่าทาง เช่น จากท่านั่งเป็นท่ายืน หรือเมื่อต้องก้มตัว นี่อาจเป็นสัญญาณว่าเส้นประสาทไซแอติกของคุณกำลังมีปัญหา 8. นอนไม่หลับเพราะปวด อาการปวดที่รบกวนการนอนหลับของคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อนอนราบ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสลักเพชรที่กำลังจะเกิดขึ้น

Read More »
คอเสื่อมรักษาได้จริงหรือ? เจาะลึกแนวทางการรักษา

คอเสื่อมรักษาได้จริงหรือ? เจาะลึกแนวทางการรักษา

คุณเคยรู้สึกปวดคอ บ่า ไหล่ จนทำงานไม่ได้หรือไม่? หรือบางครั้งรู้สึกชาร้าวลงแขนโดยไม่ทราบสาเหตุ? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ “คอเสื่อม” ปัญหาสุขภาพที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า คอเสื่อมสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป? วันนี้เรามาเจาะลึกถึงแนวทางการรักษาคอเสื่อมแบบใหม่ล่าสุดกัน! คอเสื่อมคืออะไร? คอเสื่อม หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า “โรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม” (Cervical Spondylosis) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและคนทำงานออฟฟิศ คอเสื่อมเกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลังส่วนคอและหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นผลมาจากการเสื่อมตามวัยหรือการใช้งานที่ผิดท่าเป็นเวลานาน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่: ปวดคอ ปวดไหล่ ชาปลายนิ้วมือ อ่อนแรงแขนและมือ วิงเวียนศีรษะ แนวทางการรักษาคอเสื่อม แม้ว่าคอเสื่อมจะเป็นภาวะที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% แต่ก็มีวิธีการรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการและชะลอการเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้: 1. การรับประทานยา การทานยาตามหลัก “ให้ครบ ให้ถูก ให้ถึง” จะช่วยลดกระบวนการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาคลายกล้ามเนื้อ 2. กายภาพบำบัด การบริหารกล้ามเนื้อคอและไหล่ การประคบร้อน-เย็น การนวดบำบัด 3. การฝังเข็ม การฝังเข็ม ได้รับความนิยมในการรักษาอาการปวดคอและไหล่จากคอเสื่อม

Read More »
รักษาเข่าเสื่อม แบบไม่ผ่าตัด: ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม

รักษาเข่าเสื่อม แบบไม่ผ่าตัด: ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม

เข่าเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถพบได้ในคนวัยทำงานเช่นกัน อาการของโรคเข่าเสื่อมมักเริ่มจากอาการปวดเข่าเล็กน้อย จนกระทั่งมีอาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หลายคนอาจคิดว่าการผ่าตัดเป็นทางออกเดียว แต่จริงๆ แล้วยังมีวิธีการรักษาเข่าเสื่อมแบบไม่ผ่าตัดที่ได้ผลดีเช่นกัน อาการของโรคเข่าเสื่อม ก่อนจะพูดถึงวิธีการรักษาเข่าเสื่อม เรามาทำความเข้าใจอาการของโรคนี้กันก่อน อาการที่พบบ่อยได้แก่: ปวดเข่าเวลาเดิน โดยเฉพาะเวลาขึ้นลงบันได มีเสียงดังในข้อเข่าเวลาเคลื่อนไหว ข้อเข่าฝืดตึง โดยเฉพาะตอนเช้าหรือหลังนั่งนานๆ บวมร้อนบริเวณข้อเข่า เข่าโก่งหรือขาโก่ง หากคุณมีอาการเหล่านี้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นจนต้องผ่าตัดในที่สุด   วิธีรักษาเข่าเสื่อมแบบไม่ผ่าตัด การรักษาเข่าเสื่อมไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดเสมอไป มีวิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดหลายวิธีที่ได้ผลดี ดังนี้: การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การลดน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระแทกข้อเข่ามากเกินไป สามารถช่วยชะลอการเสื่อมของข้อเข่าได้ ทานอาหารเสริมเพื่อบำรุง อาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจนไทป์ 2 โปรติโอไกรแคน และแมกนีเซียม สามารถช่วยบำรุงข้อและชะลอการเสื่อมของกระดูกอ่อนได้ กายภาพบำบัด การทำกายภาพบำบัด ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อเข่า ช่วยลดแรงกดทับบนข้อเข่า และเพิ่มความยืดหยุ่น การฝังเข็ม การฝังเข็ม เป็นวิธีการรักษาเข่าเสื่อมที่ได้ผลดีมาก โดยเฉพาะเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การฝังเข็มช่วยลดอาการปวด บวม และอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดมากเกินไป กรณีศึกษา: การรักษาเข่าเสื่อมแบบไม่ผ่าตัด

Read More »
กระดูกทับเส้นทำให้ปวดแสบร้อนได้อย่างไร? เจาะลึกสาเหตุและวิธีการรักษา

กระดูกทับเส้น ทำให้ปวดแสบร้อนได้อย่างไร? เจาะลึกสาเหตุและวิธีการรักษา

คุณเคยรู้สึกปวดแสบร้อนตามแขนขาหรือไม่? หากคำตอบคือใช่ คุณอาจกำลังเผชิญกับอาการกระดูกทับเส้นประสาท ปัญหาสุขภาพที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยจำนวนมาก ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุของอาการปวดแสบร้อนจากกระดูกทับเส้น และวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัด กระดูกทับเส้นคืออะไร? กระดูกทับเส้น หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า “ภาวะเส้นประสาทถูกกดทับ” เกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดทับบนเส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูก หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือการบาดเจ็บ ทำไมกระดูกทับเส้นถึงทำให้เกิดอาการปวดแสบร้อน? เมื่อเส้นประสาทถูกกดทับ มันจะส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมอง ซึ่งมักถูกรับรู้เป็นความรู้สึกแสบร้อน ชา หรือเสียวแปลบ ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับระดับการกดทับและตำแหน่งของเส้นประสาทที่ได้รับผลกระทบ อาการและสัญญาณเตือนของกระดูกทับเส้น ปวดแสบร้อนตามแขนหรือขา ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าตามปลายมือหรือเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดหลังหรือคอเรื้อรัง อาการปวดเพิ่มขึ้นเมื่อเคลื่อนไหว สาเหตุหลักของกระดูกทับเส้น หมอนรองกระดูกเสื่อม: เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกอาจเสื่อมสภาพและยุบตัว ทำให้กระดูกสันหลังเบียดกันมากขึ้น กระดูกงอก: การเกิดกระดูกงอกบริเวณกระดูกสันหลังอาจกดทับเส้นประสาท การบาดเจ็บ: อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บอาจทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนและกดทับเส้นประสาท น้ำหนักตัวมากเกิน: การมีน้ำหนักมากเกินไปเพิ่มแรงกดบนกระดูกสันหลัง ท่าทางที่ไม่ถูกต้อง: การนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท     วิธีรักษากระดูกทับเส้นที่ตรงจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด การฝังเข็ม: เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยลดอาการปวดและฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาท การใช้ยาตามหลัก “ให้ครบ ให้ถูก ให้ถึง”: คุณหมอซันใช้วิธีการจ่ายยาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละคน ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยต่อตับและไต เมื่อใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์

Read More »
7 ปัจจัยเสี่ยงที่คุณอาจไม่รู้! อาการปวดสะโพกร้าวลงขา

7 ปัจจัยเสี่ยงที่คุณอาจไม่รู้! อาการปวดสะโพกร้าวลงขา

คุณเคยรู้สึกปวดจี๊ดจากสะโพกลงไปถึงขาหรือไม่? อาการปวดสะโพกร้าวลงขาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่อาจทำให้คุณเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว? วันนี้ เรามาทำความรู้จักกับ 7 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้คุณเกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขากันค่ะ 1. การนั่งนานๆ ในท่าเดิม ในยุคที่หลายคนต้องทำงานออฟฟิศหรือประชุมออนไลน์เป็นเวลานาน การนั่งติดต่อกันหลายชั่วโมงโดยไม่ลุกเปลี่ยนอิริยาบถ อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขา เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณสะโพกถูกกดทับเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดการอักเสบและปวดร้าวลงมาที่ขาได้ วิธีป้องกัน: พยายามลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุกๆ 30-60 นาที หรือใช้โต๊ะทำงานแบบยืนสลับกับการนั่งเป็นระยะ 2. น้ำหนักตัวเกิน หลายคนอาจไม่ทราบว่า การมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขาได้ เนื่องจากน้ำหนักที่มากเกินไปจะสร้างแรงกดทับต่อข้อสะโพกและกระดูกสันหลังส่วนล่าง ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและอาการปวดได้ง่ายขึ้น วิธีป้องกัน: ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3. การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม รองเท้าที่ไม่รองรับเท้าอย่างเหมาะสม เช่น รองเท้าส้นสูง หรือรองเท้าที่ไม่มีแผ่นรองฝ่าเท้าที่ดี อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะการเดินและท่าทาง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดสะโพกร้าวลงขาได้ในระยะยาว วิธีป้องกัน: เลือกรองเท้าที่มีการรองรับอุ้งเท้าที่ดี และหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ 4. การยกของหนักไม่ถูกวิธี การยกของหนักโดยไม่ระมัดระวังหรือใช้ท่าทางที่ไม่ถูกต้อง สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังและสะโพก นำไปสู่อาการปวดสะโพกร้าวลงขาได้ โดยเฉพาะหากมีการยกของหนักบ่อยๆ วิธีป้องกัน: เวลายกของหนัก ควรย่อเข่าและใช้กล้ามเนื้อขาช่วยยก แทนการก้มหลังยกของ และหากเป็นของที่หนักมาก ควรขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น 5. การนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม ท่านอนที่ไม่ถูกต้องสามารถส่งผลต่อการเกิดอาการปวดสะโพกร้าวลงขาได้

Read More »
รู้ทันโรคข้อเข่าเสื่อม: สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันที่คุณควรรู้

รู้ทันโรคข้อเข่าเสื่อม: สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันที่คุณควรรู้

คุณเคยรู้สึกปวดเข่าเวลาเดินขึ้นบันได หรือลุกนั่งลำบากหรือไม่? หากคำตอบคือใช่ คุณอาจกำลังเผชิญกับอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและคนวัยทำงาน แต่ไม่ต้องกังวล! บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมที่คุณควรรู้ เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม: รู้ไว้ก่อนเป็น โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่หุ้มข้อเข่า ดังนี้: อายุที่เพิ่มขึ้น: เมื่อเราอายุมากขึ้น กระดูกอ่อนก็เสื่อมสภาพตามธรรมชาติ น้ำหนักตัวมากเกินไป: แรงกดทับที่มากขึ้นทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วกว่าปกติ การบาดเจ็บที่เข่า: อุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬาที่กระแทกเข่าบ่อยๆ พันธุกรรม: บางคนมีแนวโน้มเป็นโรคนี้มากกว่าคนอื่น อาชีพที่ต้องใช้เข่ามาก: เช่น นักกีฬา พนักงานขนของ หรืองานที่ต้องนั่งยองๆ บ่อย อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม: สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม การรู้ทันอาการเบื้องต้นจะช่วยให้คุณหาทางรักษาได้ทันท่วงที อาการที่พบบ่อยมีดังนี้: ปวดเข่าเวลาเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเวลาเดินขึ้น-ลงบันได ข้อเข่าฝืดตึง โดยเฉพาะตอนเช้าหรือหลังนั่งนานๆ เสียงดังกรอบแกรบในข้อเข่า เวลาเคลื่อนไหว ข้อเข่าบวม อาจมีอาการร้อนร่วมด้วย กล้ามเนื้อรอบเข่าอ่อนแรง ทำให้เข่าไม่มั่นคง หากคุณพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม วิธีป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม: 5 เคล็ดลับดูแลเข่าให้แข็งแรง การป้องกันดีกว่าการรักษา นี่คือ 5 วิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม: ควบคุมน้ำหนัก:

Read More »
การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อม: เคล็ดลับฟื้นฟูสุขภาพคอ

การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อม: เคล็ดลับฟื้นฟูสุขภาพคอ

คุณกำลังทุกข์ทรมานจากอาการปวดคอ บ่า ไหล่ หรือรู้สึกชาร้าวลงแขนหรือไม่? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคกระดูกคอเสื่อม ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แต่อย่าเพิ่งท้อใจ! การออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการและฟื้นฟูสุขภาพคอของคุณได้ บทความนี้จะแนะนำวิธีการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อม เข้าใจโรคกระดูกคอเสื่อม ก่อนที่เราจะเริ่มต้นการออกกำลังกาย มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคกระดูกคอเสื่อมกันก่อน โรคกระดูกคอเสื่อม หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Cervical Spondylosis เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกคอและหมอนรองกระดูก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงบริเวณคอ บ่า ไหล่ และแขน ประโยชน์ของการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีสามารถช่วย: ลดอาการปวดและอักเสบ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ คอและไหล่ ปรับปรุงความยืดหยุ่นและช่วงการเคลื่อนไหวของคอ ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ป้องกันการเสื่อมสภาพเพิ่มเติมของกระดูกคอ   การออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับผู้ป่วยกระดูกคอเสื่อม 1. การยืดกล้ามเนื้อคอเบาๆ เอียงคอไปด้านข้างช้าๆ ทีละด้าน ค้างไว้ 15-30 วินาที หมุนคอช้าๆ เป็นวงกลม ทั้งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา 2. การบริหารไหล่ ยกไหล่ขึ้นค้างไว้ 5 วินาที แล้วปล่อยลง ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง หมุนไหล่เป็นวงกลมทั้งไปข้างหน้าและข้างหลัง 3.

Read More »
ท่าบริหารเข่าเสื่อม ช่วยลดปวดและฟื้นฟูข้อเข่า

ท่าบริหารเข่าเสื่อม ช่วยลดปวดและฟื้นฟูข้อเข่า

คุณกำลังทนทุกข์กับอาการปวดเข่าหรือข้อเข่าเสื่อมอยู่หรือไม่? หากใช่ คุณไม่ได้เผชิญกับปัญหานี้เพียงลำพัง ข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและผู้ที่มีน้ำหนักเกิน แต่ไม่ต้องกังวล! มีวิธีการบริหารร่างกายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูข้อเข่าของคุณได้ ในบทความนี้ เราจะแนะนำท่าบริหารเข่าเสื่อมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคุณสามารถทำได้ที่บ้านเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคุณ ทำไมการบริหารร่างกายจึงสำคัญสำหรับผู้ที่มีปัญหาเข่าเสื่อม? ก่อนที่เราจะเริ่มต้นกับท่าบริหาร มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทำไมการออกกำลังกายจึงมีความสำคัญสำหรับผู้ที่มีปัญหาเข่าเสื่อม: เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพิ่มความยืดหยุ่นและช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ลดอาการปวดและการอักเสบ ปรับปรุงการทรงตัวและลดความเสี่ยงในการหกล้ม ชะลอการเสื่อมของข้อเข่า ท่าบริหารเข่าเสื่อมที่แนะนำ 1. ท่ายืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps Stretch) ยืนตรง ใช้มือจับเก้าอี้หรือผนังเพื่อพยุงตัว งอเข่าข้างหนึ่ง ใช้มืออีกข้างจับข้อเท้า ดึงส้นเท้าเข้าหาก้น รู้สึกถึงการยืดที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า ค้างไว้ 15-30 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 3-5 ครั้งต่อข้าง 2. ท่ายกขาตรง (Straight Leg Raises) นอนหงายบนพื้น เหยียดขาข้างหนึ่งตรง อีกข้างงอเข่าวางเท้าราบกับพื้น ยกขาที่เหยียดตรงขึ้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร ค้างไว้ 5 วินาที แล้วค่อยๆ ลดลง ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อข้าง 3.

Read More »
กระดูกคอเสื่อม ภัยเงียบจากการใช้สมาร์ทโฟน: วิธีป้องกันและรักษา

กระดูกคอเสื่อม ภัยเงียบจากการใช้สมาร์ทโฟน: วิธีป้องกันและรักษา

คุณเคยรู้สึกปวดคอ บ่า หรือไหล่หลังจากใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานหรือไม่? หากคำตอบคือใช่ คุณอาจกำลังเผชิญกับความเสี่ยงของโรคกระดูกคอเสื่อม ภัยเงียบที่กำลังคุกคามสุขภาพของคนยุคดิจิทัล ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคนี้ พร้อมแนะนำวิธีป้องกันและแก้ไขที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง กระดูกคอเสื่อมคืออะไร? กระดูกคอเสื่อม หรือ Cervical Spondylosis เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกคอและหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้งานที่ผิดท่าเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้มคอใช้สมาร์ทโฟนติดต่อกันเป็นเวลานาน อาการของกระดูกคอเสื่อม ปวดคอ บ่า และไหล่ รู้สึกชาหรือเสียวแปลบลงแขน ปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย เวียนศีรษะ การเคลื่อนไหวของคอจำกัด สมาร์ทโฟน: ตัวการสำคัญของกระดูกคอเสื่อม การใช้สมาร์ทโฟนในท่าที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการก้มคอมองหน้าจอเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อคอและบ่าต้องทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้เกิดการเสื่อมสภาพของกระดูกคอและหมอนรองกระดูกเร็วขึ้น ผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อกระดูกคอ เพิ่มแรงกดทับบนกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อคอและบ่าตึงตัว ลดความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังส่วนคอ   วิธีป้องกันกระดูกคอเสื่อมจากการใช้สมาร์ทโฟน ยกสมาร์ทโฟนให้สูงขึ้น: พยายามยกสมาร์ทโฟนให้อยู่ในระดับสายตา เพื่อลดการก้มคอ พักสายตาและคอบ่อยๆ: ใช้กฎ 20-20-20 คือทุก 20 นาที ให้มองไกลออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง: นั่งหลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย

Read More »